วันเสาร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2559

The Competitor : 3 คีย์แมนจอร์แดนลุ้นดับไทยคว้าชัยคิงส์คัพครั้งที่ 44




Photo credit : FA Thailand, www.Fifa.com, www.edition.cnn.com, www.armidaleexpress.com.au

หลังจากที่ขุนพลทีมชาติจอร์แดน ลงสนามในศึกฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ครั้งที่ 44 ด้วยการไล่อัดสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ หรือยูเออี ไปแบบไม่ยากเย็นนัก 3-1 ส่งผลให้พวกเขามีสิทธิ์ลุ้นคว้าแชมป์ฟุตบอลถ้วยพระราชทานคิงส์คัพเป็นครั้งแรก อย่างไรก็ดี เส้นทางการเดินหน้าคว้าแชมป์ของพวกเขาจำเป็นจะต้องฝ่าด่านชาติเจ้าภาพอย่าง "ทัพช้างศึก" ทีมชาติไทย ให้ได้เสียก่อน

จากผลการแข่งขันที่เอาชนะยูเออี 3-1 บ่งบอกให้เห็นอย่างชัดเจนถึงการมีเกมรุกที่มีประสิทธิภาพอย่างเหลือล้น ทักษะความสามารถเฉพาะตัว ความแข็งแกร่งของร่างกาย จุดเด่นของนักเตะจอร์แดน ที่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว  กอปรกับสภาพอากาศระหว่างประเทศไทยและจอร์แดน ที่ดูแล้วไม่ได้แตกต่างกันมากนัก ส่งผลให้ทีมชาติจอร์แดน ถือเป็นคู่แข่งที่ไทยควรทำการบ้านรับมือให้ดี มิเช่นนั้น อาจน้ำตาตกชวดคว้าแชมป์คิงส์คัพ สมัยที่ 12 ก็เป็นได้

และนี่คือ 3 คีย์แมนคนสำคัญของทัพจอร์แดนในการแข่งขันคิงส์คัพครั้งนี้ ที่เราหยิบมาให้ผู้อ่านทุกท่านทราบถึงอาวุธเด็ดและพิษสงของแต่ละรายกันได้ที่นี่



Photo credit: www.alchetron.com

ฮัมเซห์ อัล-ดัรดูร (ศูนย์หน้า)
ดาวยิงจากอัล คูเวต สปอร์ตคลับวัย 25 ปี อีกหนึ่งแข้งกำลังหลักในแนวรุกของทีมชาติจอร์แดนยุคปัจจุบัน ชนิดที่ทีมจะขาดไปไม่ได้ เห็นได้ชัดจากผลงานการทำ 8 ประตู จากการลงสนาม 8 นัด ในศึกฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย กับอีก 1 ประตูในเกมคิงส์คัพ นัดอัดยูเออี 3-1 ซึ่งจุดเด่นที่สำคัญของศูนย์หน้าหมายเลย 20 คือ ความแข็งแกร่งของร่างกาย ที่มาพร้อมกับความสามารถเฉพาะตัวอันหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการเล่นในพื้นที่แคบได้ดี สลับกับความเร็วเฉพาะตัวชนิดที่พาบอลสปีดหนีคู่แข่งในการลุ้นเข้าไปทำประตูได้อยู่หลายครั้ง ทั้งหมดนี้ เป็นสิ่งที่ผู้เล่นแนวรับของไทยควรระมัดระวังให้ดี เพราะถ้าปล่อยให้เจ้าตัวได้โชว์ทักษะการเล่น อาจมีลุ้นถึงการเสียประตูได้ไม่มากก็น้อย




Photo credit :  www.edition.cnn.com

บาฮา อับดุลรอฮ์มาน (กองกลาง)
มิดฟิลด์ตัวกลางวัย 28 ปี ที่พกดีกรีการติดทีมชาติมาแล้วกว่า 85 นัด เป็นอีกหนึ่งนักเตะคู่บุญของทีมชาติจอร์แดนมาโดยตลอด นับตั้งแต่ที่ถูกเรียกติดทีมชุดใหญ่เมื่อปี 2007 ขณะที่มีอายุเพียง 20 ปี โดยบทบาทสำคัญของมิดฟิลด์วัย 29 ปี ในนามทีมชาติคือการคุมจังหวะเกม คอยเชื่อมเกมรุกและรับให้มีประสิทธิภาพ อีกทั้งการจ่ายบอลทั้งระยะใกล้และไกลที่แม่นยำ พร้อมกับการสร้างโอกาสจากลูกยิงไกลชนิดที่ได้ลุ้นอยู่เสมอ ถือเป็นจุดแข็งของเจ้าตัว 

แม้ 1 ประตูที่ดาวเตะหมายเลข 4 ทำได้ในเกมอัดยูเออี 3-1 จะมาจากลูกการยิงลูกโทษที่จุดโทษ ทว่าประสบการณ์การเป็นแข้งอาวุโสในนามทีมชาติ บวกกับจุดแข็งที่กล่าวไปข้างต้น นับเป็นสิ่งที่บรรดาผู้เล่นทัพช้างศึกไม่ควรประมาทฝีเท้าของเจ้าตัวเป็นอย่างยิ่ง 




Photo credit : www.armidaleexpress.com.au

ยาซีน บากีต (ปีกซ้าย)
การหาพื้นที่ของตนเองในการพาบอลกดดันคู่ต่อสู้ ครองบอลไว้กับตัวอย่างเหนียวแน่น เสียบอลยาก หรือแม้แต่การครอสบอลเข้ากลางชนิดที่แม่นยำอยู่บ่อยครั้งในฐานะผู้เล่นริมเส้น คือจุดเด่นของปีกซ้ายหมายเลข 13 ของทีมอย่าง ยาซียน บากีต ดาวเตะสารพัดประโยชน์ในแนวรุก ที่เจ้าตัวมักใช้โจมตีคู่แข่ง เห็นได้ชัดจาก 2 ใน 3 ประตูที่จอร์แดนทำได้ในเกมอัดยูเออี 3-1 เกิดขึ้นจากการสร้างสรรค์เกมบุกของเจ้าตัว

เป็นไปได้ว่าปีกซ้ายวัย 27 ปี อาจสร้างความปั่นป่วนให้กับแนวรับของทีมชาติไทยเหมือนกับที่การทำใส่ยูเออี หากทัพช้างศึกไม่ทำการบ้านโดยเฉพาะเรื่องเกมรับของทีมให้ดี เหมือนดั่งที่พลาดเสียประตูง่ายๆจากการถูกซีเรียไล่ตามตีเสมอ 2-2 

แต่ทั้งหมดทั้งมวลจะเป็นอย่างไรนั้น ผลงานในสนาม 90 นาที หรือแม้แต่การดวลลูกโทษที่จุดโทษตัดสินหาผู้ชนะ ภายในสนามราชมังคลากีฬาสถานช่วง 20.00 น. ของวันอาทิตย์ที่ 5 มิถุนายน 2016 จะเป็นผู้ให้คำตอบ !!!